27 October 2016

สวัสดีค่ะ แฟนคลับคุณหมอวีซ่าทุกท่าน ต้องขออภัยที่วางการเขียนบทความไปเกือบเดือน พอดีคุณหมอวีซ่าอยู่ระหว่างการเดินทาง ตอนนี้กลับถึง Sydney ออสเตรเลียแล้ว สองวันก่อนก็เพิ่งไปเยือนมหาวิทยาลัย The University of Sydney พร้อมคุณเอ็ม (M) ที่เป็น Marketing Manager จาก CP Bangkok ที่มาเยือน Sydney โดยเป็นแขกรับเชิญของ มหาวิทยาลัย Macquarie University  จึงได้ถ่ายรูปกับ Dr. Vic Naidoo ที่เป็น ผอ.ใหญ่ใน International Office ของ The University of Sydney เป็นที่ระลึก ท่านผอ.เป็นหนุ่มร่างสูงโปร่งหล่อเฟี๊ยว แถมเฉลียวฉลาด พูดจาคล่องแคล่ว เป็นมิตรและเก่งฝุดๆ  จุดหนึ่งที่ทำให้คุณหมอวีซ่ารักประเทศออสเตรเลียมาก ก็คือเป็นประเทศที่ให้โอกาสกับคนทุกเชื้อชาติ ศาสนา ไม่กีดกันกระทั่งเรื่องเพศและอายุ ไม่ได้ถือเป็นอุปสรรคในการหาความก้าวหน้า หรือประกอบอาชีพทำงานดีๆของคนที่นี่ได้ โดยไม่จำเป็นต้องเป็นเฉพาะฝรั่งหัวแดงถึงจะได้งานดีๆ เยี่ยงนี้เป็นต้น กฎหมายกีดกันการเลือกปฏิบัติของประเทศออสเตรเลียศักดิ์สิทธิ์มาก และมีบทลงโทษสำหรับผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายค่อนข้างรุนแรง แต่ก็เป็นสิ่งที่ดีค่ะ เพราะทำให้ราษฎรสามารถอาศัยอยู่ร่วมกันได้ในสังคมหลายเชื้อชาติ ที่เรียกว่า multicultural society อย่างสันติสุข เรียกได้ว่าทุกคนมีโอกาสเท่าเทียมกันก็ว่าได้นะคะ สังคมแบบนี้ ยิ่งเจอคนที่ทั้งเก่งทั้งขยัน ก็ย่อมทำเงินและก้าวหน้าประสบความสำเร็จได้อย่างรวดเร็วอย่างแน่นอนค่ะ

 

ช่วงนี้ ได้มีผู้ที่สมัครขอวีซ่านักเรียนเพื่อประสงค์ของการมาเรียนหนังสือที่ออสเตรเลีย แล้วถูกปฏิเสธมาขอพบคุณหมอวีซ่าหลายต่อหลายคน เพื่อมาขอคำแนะนำ และคำปรึกษาจากคุณหมอวีซ่า ในบางกรณีที่คุณหมอวีซ่าสามารถช่วยกู้วีซ่ากลับคืนมาได้โดยการยื่นเรื่องใหม่ก็ได้พยายามทำอย่างดีที่สุด เพื่อให้นักเรียนได้มาเรียนที่ออสเตรเลีย และสำหรับบางท่านที่สามารถยื่นวีซ่าตัวใหม่ตัวอื่นที่ผู้ยื่นมีคุณสมบัติยื่นได้ อย่างเช่น วีซ่าทำงาน วีซ่าคู่รัก เป็นต้น คุณวีซ่าก็จะแนะนำให้ไปตามแต่ที่เห็นสมควร เป้าหมายหลักก็คือให้เขาได้วีซ่าเข้าออสเตรเลีย ด้วยวีซ่าที่เหมาะสมตามกรณีแต่ละกรณีไป แต่บางกรณีก็ไม่สามารถยื่นใหม่ได้ ย่อมแล้วแต่เหตุผลและกรณีที่แตกต่างกันไปของแต่ละคน คุณหมอวีซ่าก็จะบอกตรงๆแฟร์ๆ เพื่อให้เขาได้ไปวางแนวทางชีวิตใหม่ โดยไม่ตั้งความหวังอยู่กับแค่วีซ่าเข้าออสเตรเลียเพียงอย่างเดียว

จากอัตราการปฎิเสธวิชานักเรียนที่สูงมากมาตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ค.ศ.2016 คุณหมอวีซ่า (และมั่นใจว่ามีตัวแทนทางการศึกษา หลายท่านจากประเทศไทย) ได้ช่วยกันทำจดหมายร้องทุกข์เข้าไปที่สถานทูตออสเตรเลีย เพื่อร้องทุกข์ถึงเรื่องอัตราการปฏิเสธวีซ่านักเรียนที่สูงลิ่วครั้งนี้ โดยประมาณเมื่อต้นเดือนของเดือนตุลาคม 2016 ก็ได้รับคำตอบกลับมาจากทางสถานทูตอย่างกว้างๆว่า ทางกระทรวงตรวจคนเข้าเมืองฯตระหนักถึงคุณค่าของผลงานที่ทางเหล่าที่ ปรึกษาทางการศึกษาที่สนับสนุนอุตสาหกรรมทางการศึกษาของประเทศออสเตรเลียด้วยดีมาโดยตลอด แต่เนื่องจากทางรัฐบาลออสเตรเลียต้องการจะคัดสรรและออกวีซ่าให้เฉพาะแก่ผู้ที่มีเจตนาอย่างแท้จริงในการไปศึกษาต่อในประเทศออสเตรเลียเท่านั้น ส่วนผู้ที่มีเจตนาจะใช้วีซ่านักเรียนเพื่อประสงค์ของการไปสรรหาทำงานหาเงินในประเทศออสเตรเลียก็จะได้รับการปฏิเสธไม่ให้เข้าประเทศ ดังนั้นถึงแม้ว่า นักเรียนหรือนักศึกษาได้เลือกสมัครเข้าเรียนในสถาบันที่เป็นระดับ S ที่ย่อมาจากคำว่า Streamlined คือผ่านการคัดเลือกมาแล้วว่าน่าจะง่ายต่อการออกวีซ่าก็จริง ทางสถานทูตฯก็แจ้งว่า ก็ยังคงแล้วแต่ความอำเภอใจของเจ้าหน้าที่ผู้พิจารณาวีซ่า ว่าจะให้ ผ่านหรือไม่ แต่ทั้งนี้ข่าวดีก็คือทางกระทรวงฯพยายามที่จะเคลื่อนหน้าไปสู่ระบบการทำงานในระดับสากลเพื่อช่วยให้การออกวีซ่านักเรียนของอิมมิเกรชั่นออสเตรเลียนั้นมีความผิดพลาดคลาดเคลื่อนน้อยที่สุดและราบรื่นมากที่สุด และมีความเชื่อว่าเมื่อระบบเข้าที่แล้ว การตัดสินใจเรื่องวีซ่านักเรียนก็จะมีการปรับปรุงให้ดีขึ้นโดยใช้ระยะเวลาพิจารณาสั้นลงด้วย

บอกตรงๆคุณหมอวีซ่าทุกวันนี้ก็ยังรอข่าวดีอันนี้ให้เกิดขึ้นอยู่ นะคะ และจากการสังเกตก็เห็นว่าตัวแทนทางการศึกษาต่างๆในประเทศไทยช่วงนี้ก็หันไปส่งประเทศอื่น เช่น ส่งไปเรียนภาษากันที่ประเทศนิวซีแลนด์ เป็นต้น ทุกครั้งที่รัฐบาลออสเตรเลียมีการเปลี่ยนแปลงกฎการออกวีซ่านักเรียนก็มักมีผลกระทบถึงดุลย์การค้า และรายได้เข้าประเทศอย่างแน่นอน แต่ประเทศออสเตรเลียคงจะรวยมาก ไม่สนใจเรื่องเสียดุลย์การค้ากระมั้ง อย่างไรก็ตามคุณหมอวีซ่าก็หวังว่าเรื่องนี้จะได้รับการสรุปในเร็ววันนี้นะคะ

สำหรับวันนี้คุณหมอวีซ่าขอยกตัวอย่างเรื่องราวสักสองสามเรื่องของนักเรียนที่ถูกปฏิเสธวีซ่ามา เพื่อเป็นอุทาหรณ์ให้กับผู้ที่กำลังจะยื่นวีซ่านักเรียนเข้าประเทศออสเตรเลียอย่าได้ไปทำเหมือนกันให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย เพื่อป้องกันไม่ให้วีซ่าถูกปฏิเสธนะคะ

เรื่องที่ 1: เรื่องของ น้องเอ (นามสมมุติ)

เป็นเรื่องที่เกิดบ่อยกับนักเรียนที่ได้วีซ่านักเรียนมาเรียนที่ออสเตรเลียแล้ว และไปทำการต่อวีซ่าใหม่ที่ออสฯ (onshore) และถูกปฏิเสธวีซ่ากลับมา – เรื่องของเรื่องก็คือน้องเอได้สมัครเรียนมาเป็น package กับตัวแทนการศึกษาที่เมืองไทย เป็นเรียนภาษา + หลักสูตรปริญญาตรี และได้เข้าเรียนที่โรงเรียนศูนย์ภาษาอังกฤษแห่งหนึ่ง โดยไปโรงเรียนเกินกว่า 80% เรียนภาษาอังกฤษมาได้สามเดือนก็จบ ปรากฏว่าทางโรงเรียนบอกกับน้องเอว่าให้ น้องเขาไปพัก holiday ได้ เป็นเวลา 2 เดือน เนื่องจากหลักสูตรปริญญาตรีที่เค้าลงมาเป็น Package นั้น ไม่แน่ใจว่าจะมีที่ให้เข้าเรียนได้หรือเปล่า

จากที่น้องเอ หมดความมั่นใจในสถาบันนี้ จึงตรงไปพบกับเอเจ้นท์เจ้าหนึ่งในซิดนีย์ที่ link กับเอเจ้นท์ที่เมืองไทยของเขา เพื่อขอย้ายสถาบัน ทางเอเจ้นท์ก็บอกว่า ไม่มีปัญหา และได้จัดให้นักเรียนย้ายไปเรียนหลักสูตร Commercial Cookery ที่สถาบันใหม่อีกแห่งหนึ่งใน Sydney  โดยบอกนะว่าได้แจ้งการย้ายให้กับทางโรงเรียนเก่าเรียบร้อยแล้ว และจะทำการยื่นวีซ่าตัวใหม่ให้ เพราะมีการลดระดับการเรียน  และเพื่อแจ้งให้อีมิเกรชั่นทราบถึงความเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้

จู่ๆ สัปดาห์ต่อมา ท่านเอเจ้นท์ก็โทรศัพท์มาหาน้องเอว่า วีซ่าของเค้าถูกปฏิเสธและเค้าต้องไปพบกับทนายเพื่อเริ่มขบวนการยื่นเรื่องเข้าศาลอุทธรณ์ ซึ่งก็หมายถึงค่าใช้จ่ายอีกเป็นจำนวนมากมาย ทั้งค่าทนายและค่ายื่นเรื่องที่ศาลอุทธรณ์อีก – จากบทเรียนครั้งนี้คุณหมอวีซ่าก็ขอเตือนทั้งน้องเอและผู้ที่อ่านข้อความในวันนี้ว่า การย้ายโรงเรียนในประเทศออสเตรเลียนั้น จะต้องมีการขอความยินยอมจากโรงเรียนเก่า โดยทำเป็นลายลักษณ์อักษร ที่เราต้องเก็บไว้เป็นหลักฐานว่าทางสถาบันเก่าได้ยินยอมให้เราลาออกโดยไม่เรียนหลักสูตรที่เราได้สมัครมาเป็น package จากเมืองไทย แต่คุณหมอวีซ่าก็ไม่แนะนำเนื่องจากหลายๆเอเจ้นท์ที่เมืองไทยได้ทำให้นักเรียนมาเรียนในหลักสูตรปริญญาเพื่อให้ง่ายต่อการออกวีซ่า แต่พอเดินทางมาถึงที่ประเทศออสเตรเลียแล้ว เอเจ้นที่ประเทศออสเตรเลียก็กลับเปลี่ยนเด็กไปเรียนในหลักสูตรที่ต่ำลงเป็นระดับ certificate กับ diploma เพื่อจะได้กินค่าคอมมิชชั่นงวดใหม่  แบบนี้คุณหมอวีซ่าขอเตือนเลยว่าจะไม่เข้าข่าย GTE หรือ Genuine Temporary Entry ที่ถือเป็นนโยบายการออกหรือไม่ออกวีซ่านักเรียนใหม่หลังวันที่ 1 กรกฎาคม 2016 นะคะ หลายๆ เอเจ้นท์ช่วยนักเรียนเปลี่ยน บ้างอาจทำไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ แต่บ้างก็ทำทั้งๆที่รู้ว่าทำไปแล้วเด็กจะไม่ผ่านวีซ่า ก็ยังทำเพื่อประสงค์อะไร คุณหมอวีซ่าก็ไม่อาจจะหยั่งรู้ได้ นอกจากผลประโยชน์ทางการเงิน?

เรื่องที 2: เป็นเรื่องของน้องบี (นามสมมุติ)

น้องบีอายุเกิน 30 ปีแล้ว มีแฟนเป็นชาวออสเตรเลียพบกันที่เมืองไทยและได้จีบกันมาสักพักแล้ว น้องบีอยากจะไปเยี่ยมแฟนที่ประเทศออสเตรเลีย จึงไปพบเอเจ้นท์เจ้าหนึ่งที่เรียกตัวเองว่าเป็นอาจารย์ ด้วยความไว้วางใจที่เขาเป็นอาจารย์   เมื่อทางอาจารย์แนะนำให้น้องบีทำเป็นวีซ่านักเรียน เค้าก็โอเค หวังเพียงได้วีซ่าอะไรก็ได้ให้ได้ไปอยู่กับแฟน  น้องบีจึงได้ตกลงโดยทางอาจารย์เองก็ได้คิดค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง รวมๆแล้วค่าบริการก็ตกประมาณ 100,000 กว่าบาท ปรากฏว่า ทางอาจารย์ก็ไม่ได้ทำเรื่องสมัครเรียนหรือทำวีซ่าเอง เพราะอาจารย์เองก็ทำงาน link กับอีกหนึ่งเอเจ้นเล็กๆที่ Sydney และฝั่ง  Sydney ก็เป็นคนยื่นวีซ่านักเรียนเข้าไป โดยเขียน Statement of Purpose สั้นๆให้ ซึ่งก็แน่นอน ถูกปฏิเสธกลับมา จากการไปลงทะเบียนหลักสูตรราคาถูกๆเอาไว้ให้ และไม่ได้เขียนคำอธิบายดีพอถึงประสงค์ของการจะไปศึกษาต่อที่ออสเตรเลียครั้งนี้

ในกรณีอย่างนี้ วีซ่านักเรียนนั้นไม่ถูกประสงค์ของการขอวีซ่าเสียแล้ว เนื่องจากน้องบีไม่ได้มีเจตนาอยากจะเข้าไปเรียนหนังสือ เพียงแต่อยากจะไปเยี่ยมเยียนหรือไปอยู่กับแฟน ถ้าเป็นเช่นนี้ก็ควรจะทำวีซ่าท่องเที่ยวหรือไม่ก็เป็นวีซ่าคู่รักไปซะ หากหลักฐานความสัมพันธ์เพียงพอ วีซ่านักเรียนไม่ใช่ทางออกค่ะ คุณหมอวีซ่าอยากจะเตือนว่าวีซ่านักเรียนเข้าประเทศออสเตรเลียนั้น ไม่ใช่เป็นวีซ่าที่ใช้เป็นทางออกสำหรับทุกกรณีทุกรูปแบบ วีซ่านักเรียนมีไว้เพื่อประสงค์ของคนที่มีเจตนาจะเข้าไปหนังสือที่ประเทศออสเตรเลียอย่างแท้จริง ไม่ใช่ใช้วีซ่านักเรียนเข้าไปเพื่อประสงค์อย่างอื่น และอย่าคิดว่าอีมิเกรชั่นรู้ไม่ทันเรานะคะ

อนึ่ง การถูกปฏิเสธวีซ่าไม่ใช่เป็นสิ่งที่ดี เนื่องจากจะทำให้เราติดประวัติเสีย (adverse immigration history) ซึ่งย่อมจะส่งผลไปถึงการขอวีซ่าของเราในอนาคตข้างหน้า เพราะประวัติการถูกปฏิเสธวีซ่านั้น จะติดอยู่กับเราไปตลอดชีวิต จึงไม่ใช่สิ่งที่ดี

ในกรณีเช่นนี้ จำไว้ว่าหากวีซ่านักเรียนถูกปฏิเสธลงมาแล้ว นักเรียนย่อมมีสิทธิ์และพึงไปขอเงินคืนโดยเฉพาะค่าเล่าเรียน ค่าประกันสุขภาพ ควรจะได้รับคืนเสียเกือบเต็ม น้องบีบอกว่าที่น่าเจ็บใจคือค่าบริการเกือบ 100,000 บาท นั้นถูกริบไปหมดเลย

เรื่องที่ 3 – เป็นเรื่องของน้องซี (นามสมมุติ)

น้องซี ได้วีซ่านักเรียนเข้าไปเรียนหนังสือที่ออสเตรเลียโดยลงทะเบียนเรียนในหลักสูตร Diploma of Hospitality ที่สถาบันเอกชนแห่งหนึ่งในเมลเบิร์น โดยไปพร้อมแฟนซึ่งก็ถือวีซ่านักเรียนเหมือนกัน หลังจากเรียนจบ โดยประวัติการเรียนก็ดีเด่น ไม่มีการขาดเรียนและสอบผ่านทุกวิชา แต่การต่อวีซ่านักเรียน ไม่สามารถต่อที่ออสเตรเลียได้ เนื่องจากติดเงื่อนไข  No Further Stay 8534 อีกทั้งทางเอเจนซี่ได้เปลี่ยนแนวการเรียนของนักเรียนคนนี้โดยสิ้นเชิง โดยไปลงให้เป็น package ยาวเหยียด ตั้งแต่ Certificate III in Business Administration  ต่อด้วย Certificate IV in Marketing + Diploma of Marketing and Communication + Advanced Diploma in Marketing and Communication เนื่องจากเอเจ้นท์เจ้านี้บอกว่าจะได้วีซ่ายาว น้องก็เลยเชื่อ แต่ปรากฏว่าทางเอเจนซี่ได้ช่วยเขียน SoP Statement of Purpose ให้เพียงสั้นๆหน้าเดียวในการแจ้งวัตถุประสงค์ของการขอต่อวีซ่านักเรียนเพื่อศึกษาต่อในประเทศออสเตรเลียครั้งนี้
และเหตุผลที่ถูกปฏิเสธวีซ่าทางอิมิกเรชั่นก็แจ้งว่า วัตถุประสงค์เขียนกว้างจนเกินไป โดยไม่มีเหตุผลอื่นๆประกอบการตัดสินใจใดๆทั้งสิ้น

กรณีนี้น้องไม่สามารถยื่นอุทธรณ์ได้ เพราะวีซ่าตัวเก่าที่น้องได้มา ติดเงื่อนไข 8534 ซึ่งแปลว่าไม่สามารถยื่นวีซ่าใดๆต่อที่ออสเตรเลียได้ โดยจะต้องกลับไปยื่นที่เมืองไทยทางเดียวเท่านั้น ในตอนนั้นน้องซีเองก็หมดความรู้สึกอยากเรียนต่อแล้ว แต่อยากจะขอวีซ่ากลับมาเพื่อเก็บข้าวเก็บของเท่านั้น ตามความเห็นของคุณหมอวีซ่าก็เห็นว่าน่าเสียดาย เนื่องจากการถูกปฏิเสธวีซ่าครั้งนี้  ทำให้ประวัติของน้องเสียไปแล้ว วันหลัง กระทั่งน้องอยากจะขอวีซ่าท่องเที่ยวเข้าออสฯ ก็จะเป็นสิ่งที่ยากเป็นอย่างยิ่ง จึงแนะนำน้องว่าให้เพื่อนช่วยเก็บของให้ส่งกลับบ้านก็แล้วกัน

มีอีกหลายตัวอย่างมากมายที่นักเรียนถูกปฏิเสธวีซ่า เหตุผลหลักก็คือ การไม่เข้าข่าย GTE และจุด ที่ยากนักยากหนาก็คือ จะต้องเขียน SoP อย่างไรเพื่อให้ Immigration เชื่อว่าเรานั้นเป็นนักเรียนที่มีเจตนาจะไปเรียนหนังสือ และเข้าข่าย GTE จริง ทั้งนี้คุณหมอวีซ่าบอกได้เลยว่ายุคนี้ เป็นยุคยากของวีซ่านักเรียนเข้าออสเตรเลียค่ะ คนทำวีซ่าเองคุณสมบัติก็ต้องถึงด้วย นอกจากจะต้องเก่งภาษาอังกฤษขั้นเทพแล้ว ยังจะต้องรู้กฎหมายและเข้าใจในนโยบายของรัฐบาลออสเตรเลีย โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับการออกกฎเกณฑ์ GTE ครั้งนี้เป็นอย่างดี ไม่อย่างนั้น เราก็จะกลายเป็นผู้รับเคราะห์ที่เสี่ยงต่อการถูกปฏิเสธวีซ่า ครั้งแล้วครั้งเล่า ซึ่งแน่นอน จะทำให้ประวัติของเราเสีย ไม่ดีต่ออนาคตถ้าเรายังอยากจะเข้าประเทศอื่น อย่างเช่น อยากไปเรียนต่อที่อังกฤษ สหรัฐอเมริกา หรือประเทศอื่นๆก็ตาม ก็จะต้องขึ้นชื่อว่าเราได้ติดประวัติการถูกปฏิเสธวีซ่ามาแล้ว การที่ประเทศเหล่านั้นจะออกหรือไม่ออกวีซ่าให้ ก็ยังจะเอาจุดนี้เข้า ได้พิจารณาร่วมด้วยอย่างแน่นอน

โดยสรุปแล้ว คุณหมอวีซ่าขอบอกได้เลยว่ายุคของวีซ่านักเรียนเข้าออสเตรเลียในยุคนี้ จะต้องผ่านการสกรีนอย่างละเอียดถึงเป้าหมายและวัตถุประสงค์อันแท้จริงของผู้ยื่นที่จะขอวีซ่านักเรียนเข้าประเทศออสเตรเลีย ขอย้ำว่า หมดยุคแล้ว ตามสมัยที่คนไทยเราเคยได้รับความสะดวกสบายจากการได้วีซ่านักเรียนมาอย่างง่ายๆ และได้ใช้อาศัยเหตุผลของวีซ่านักเรียนเพื่อเข้าไปทำมาหากิน เพื่อไปทำงานทำเงินในประเทศออสเตรเลีย ซึ่งตอนนี้เรียกได้ว่า หมดยุคแล้วจริงๆค่ะ ดังนั้นผู้ที่จะยื่นขอวีซ่านักเรียน คุณหมอวีซ่าก็คอยตักเตือนว่า จะต้องมีประสงค์และมีความจริงใจ มีเจตนาแท้จริงที่จะเข้าไปเรียนจริง ๆ ทั้งนี้ราคาของหลักสูตรและสถาบันที่เลือก ก็ล้วนมีผลทั้งสิ้น อนึ่ง สถานการณ์ทางบ้านของเราเองหรือประวัติ Immigration ของแต่ละคนรวมทั้งสถานการณ์การเงิน ศักยภาพทางภาษาอังกฤษของเรา ตลอดจนประวัติการทำงานทุกอย่าง ก็จะถูกเอาเข้าไปใช้ร่วมพิจารณาทั้งสิ้น วีซ่านักเรียนจะไม่สามารถผ่านด้วยการเขียน SoP ส่งเดชไปง่ายๆเพียงหน้าเดียว แล้วก็คิดว่าวีซ่าจะผ่านได้อีกต่อไปแล้วค่ะ (หรือถ้าผ่าน ก็ถือได้ว่าดวงดีมากๆนะคะ) แต่การทำวีซ่าก็ไม่สมควรที่จะต้องมีการวัดดวงกัน ที่ปรึกษาทางการศึกษาทั้งหลายควรจะพิจารณาอย่างถ่องแท้ว่า นักเรียนคนนี้เข้าข่ายตามกฎ GTE ที่สมควรได้วีซ่านักเรียนหรือไม่ หากไม่มีความเป็นไปได้เลย ก็ไม่สมควรจะรับยื่นเรื่อง เพราะจะทำให้นักเรียนคนนี้มีประวัติเสีย ส่งผลให้อนาคตของเขาอาจมีปัญหาตามมา บอกตรงๆในสายของการทำวีซ่านั้น ไม่มีใครสามารถการันตีได้หรอกว่า จะต้องมีการผ่านวีซ่าแน่นอน แต่ขอให้ทุกคนช่วยกันคัดกรองให้ดีที่สุด หากนักเรียนไม่สามารถผ่านวีซ่าเข้าประเทศออสเตรเลียได้ ก็ลองดูประเทศอื่นซะ น่าจะเป็นทางออกที่ดีกว่านะคะ

ใกล้สิ้นปีเต็มทน ปีหน้า 2017 ทางบริษัท CP International เตรียมฉลองครบรอบ 20 ปีแห่งความสำเร็จ คุณหมอวีซ่าก็คงมีข่าวดี ทั้งที่เกี่ยวกับงานฉลอง ทั้งเรื่องแจกทุนการศึกษา มาบอกต่อกันได้เรื่อยๆนะคะ เอาไว้คุณหมอวีซ่าจะคอยส่งข่าวให้แฟนๆทั้งหลาย แล้วอย่าลืมค่อยติดตามใน Blog Dr Visa ของคุณหมอวีซ่านะคะ

สำหรับวันนี้ดึกแล้ว ขอลาไปก่อน ขอให้ทุกคนนอนหลับฝันดีนะคะ สวัสดีค่ะ

Good night ka…

ด้วยความปราถนาดี…จากคุณหมอวีซ่า

มีคำถามเกี่ยวกับการสมัครหรือสถานะวีซ่าออสเตรเลียของคุณ? ต้องการสมัครเพื่อศึกษาต่อ ทำงาน หรืออาศัยอยู่ในออสเตรเลีย? สามารถขอคำแนะนำจากทีมคุณหมอวีซ่าได้ที่: