คุณหมอวีซ่า (31/12/2010)

ฉบับส่งท้ายปีเก่า คุณหมอวีซ่าอยากเขียนเรื่องของตัวอย่างกรณีเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในวงการวีซ่าเมื่อไม่นานมานี้ ตั้งแต่ปีใหม่ 2011 นี้เป็นต้นไป กระทรวงตรวจคนเข้าเมืองและสัญชาติ (Department of Immigration & Citizenship – DIAC) ของออสเตรเลียเอาจริงเอาจังและตั้งกระบวนการปราบปรามผู้ที่ไปรับทำวีซ่า ไปเที่ยวให้คำแนะนำหรือให้ความช่วยเหลือทางด้านวีซ่าในออสเตรเลียโดยไม่ได้ขึ้นทะเบียนหรือถือใบอนุญาตอย่างถูกต้องตามกฎหมาย หรืออีกนัยหนึ่ง ก็คือไม่ได้ถือใบอนุญาตประกอบการเป็น Registered Migration Agent ที่ออกให้โดย Office of the MARA ซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของทางกระทรวงโดยตรง

http://www.youtube.com/user/ImmiTV?feature=mhum#p/c/F4EFEEE1C3DD40C2/1/y7gpgMpHXgQ.
(Source: Pier Online dated 14 December 2010)

ตามมาติดๆ ก็เป็นกระบวนการปราบปรามโรงเรียนและเอเย่นทางการศึกษาที่ทำอะไรไม่อยู่ในขอบเขตของกฎหมายของรัฐบาลออสเตรเลีย ท่านผู้อ่านคงจะจำได้ว่าเมื่อไม่นานมานี้ คุณหมอวีซ่าเคยเขียนเรื่องในทำนองที่เกี่ยวกับรัฐบาลออสเตรเลียได้ทำการกวาดล้างสถาบันการศึกษาโดยเฉพาะสถาบันเอกชนทั้งหลายที่ไม่ได้มาตรฐาน และทำการฟ้องร้องเอเย่นที่ใช้เอกสารปลอมแปลงไปหลอกลวงรัฐบาล และผลที่เห็นได้อย่างชัดเจนก็สะท้อนออกมาในรูปแบบของอัตราการปฏิเสธวีซ่านักเรียนด้วยตัวเลขที่สูงลิบลิ่ว จนสถาบันการศึกษาพากันโวยวายว่าทำให้จำนวนนักเรียนนานาชาติที่เข้ามาเรียนที่ออสเตรเลียน้อยลงกว่า 30% ส่งผลสะท้อนให้ประเทศเสียรายได้เมื่อเทียบกับคู่แข่งโลกเช่นประเทศ UK, USA, Canada หรือกระทั่งเพื่อนบ้านเราคือ New Zealand เป็นต้น

อนึ่ง จากผลตรงนี้ ยังทำให้ประชากรชาวออสเตรเลียพากันตกงานกันเป็นแถวๆ ยิ่งกว่านั้น ยังมีการประกาศตัดวีซ่าทักษะ และการแยกความเกี่ยวข้องทางด้านการศึกษา (education) ให้ออกจากการทำวีซ่าอพยพ (migration) ให้เห็นได้อย่างชัดเจนด้วยระบบนับแต้มที่เปลี่ยนแปลงครั้งแล้วครั้งเล่า จนทุกฝ่ายต่างก็งงกันไปตามๆกัน ส่วน eVisa agents เท่าที่คุณหมอวีซ่าทราบมาก็โดนตัดออกอย่างมหาศาล ยกตัวอย่างที่เมืองไทย เท่าที่ทราบมาทางสถานทูตฯได้ตัดจำนวน eVisa agents ลงจาก 200 กว่าเจ้าเหลือเพียง 8 เจ้าอย่างน่าตกใจ เงื่อนไขสำคัญอย่างหนึ่งของการเป็น eVisa agents ก็คือการที่จะต้องรักษาอัตราการผ่านวีซ่าให้สูงเกิน 90% อยู่ตลอดเวลา และที่คุณหมอวีซ่าสามารถยืนยันการเอาจริงของรัฐบาลชุดนี้ได้ ก็เพราะสำนักงาน CP ที่กรุงเทพฯเพิ่งจะได้รับสัญญา eVisa agent ฉบับใหม่ล่าสุดจากทางสถานทูตฯมาเมื่อเดือนที่ผ่านมานี้เอง โดยอ่านดูเงื่อนไขแล้ว ถึงตำแหน่งนี้จะเป็นตำแหน่งที่มีเกียรติ และได้รับการอำนวยความสะดวกในการทำวีซ่าจากอิมมิเกรชั่นมาอย่างมากก็จริง แต่งานก็หนัก เพราะความรับผิดชอบสูงมาก แถมเจ้าหน้าที่ยังบอกว่าจะแวะมาเยือนออฟฟิศเราทุกๆ 6 เดือนเพื่อมาตรวจดูว่าเราได้ปฏิบัติตามกฎที่กำหนดไว้หรือไม่

คุณหมอวีซ่าจึงถามทีมงานว่าหนักใจไหม ก็ได้คำตอบที่น่าภูมิใจนะคะว่า ตั้งแต่ที่ CP ได้รับการแต่งตั้งให้เป็น Trial eVisa Agent จำนวน 1 ใน 6 เจ้าแรกที่เมืองไทยเมื่อครั้งที่อิมมิเกรชั่นริเริ่มโครงการนี้เป็นครั้งแรกในปี 2004 ทีมงานเราก็ปฏิบัติตามกฎอย่างถูกต้องและรักษาคุณภาพมาอย่างเสมอต้นเสมอปลายด้วยดีมาโดยตลอด ตอนนี้ ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงสำหรับเราเลยไม่ใช่เหรอ ก็ถูกนะคะ หากเราทำแต่ในสิ่งที่ถูกต้องและทำดีมาโดยตลอด มาตรฐานก็จะคงตัว ไม่มีการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใดอย่างที่ทีมงานบอกมา มีแต่จะดีขึ้นด้วยประสบการณ์อันแน่นแฟ้นที่สร้างสมกันมากว่า 10 ปี

จากคำประกาศข้างล่าง ที่เกี่ยวกับบทบัญญัติว่าด้วยการดูแลนักศึกษานานาชาติของออสเตรเลีย (ESOS Act) ที่ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการศึกษาชั้นสูง ฯพณฯ Chris Evans ประกาศไปเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2010 สดๆร้อนๆ ให้ยกระดับมาตรฐานการศึกษาของประเทศออสเตรเลียโดยเน้นคุณภาพมาเป็นหลัก (และก็อย่างว่าคุณภาพก็มาพร้อมกับราคา) ดังนั้น คุณหมอวีซ่าจึงไม่จะแปลกใจเลยที่โรงเรียนต่างๆอาจต้องทำการปรับหลักสูตรให้เป็นระดับการศึกษาชั้นสูงและ charge ราคาแพงขึ้น แทนที่จะเป็นเพียงระดับ certificates หรือ diplomas ระดับราคาถูกๆ ที่สอนโดยโรงเรียนเอกชนโดยทั่วไป โดยที่นักเรียน ก็ไปเรียนบ้าง ไม่ไปบ้าง ตามมาด้วยปัญหา attendance อย่างไม่หยุดยั้ง

หลัง update ข้อมูล คุณหมอวีซ่าก็อยากจะหยิบยกเรื่องจริงที่เกี่ยวกับวีซ่ามาเล่าสู่กันฟัง เพื่อสนับสนุนให้พวกเราทำแต่ในสิ่งดีๆต้อนรับปีใหม่นี้นะคะ

เรื่องที่ 1 : คุณปูกับคุณกุ้ง (นามสมมุติ) เป็น Australian citizens และเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จมาก เปิดร้านอาหารไทยทำงานหามรุ่งหามค่ำกันมาก็ร่วม 10 ปี จนไม่มีเวลาทำลูกกัน ว่างั้นเถอะ พออายุเริ่มมากเข้า ก็เริ่มคิดว่าอยากมีเด็กน้อยมาเพิ่มสีสันให้กับชีวิต แต่ลองกันมาหลายปีก็ไม่ติดสักที ทำกิ๊ฟมาก็ตั้งไม่ทราบกี่ครั้งหมดเงินไปก็มากมาย อีกอย่างสร้างมรดกมามากมาย ก็อยากหาเชื้อสายตนมารับช่วง คุยกับคุณหมอวีซ่าทุกครั้ง ก็บ่นเครียดเรื่องนี้ทุกรอบจนไปกระทบความสัมพันธ์คู่สามีภรรยากัน จนเมื่อเกือบ 2 ปีที่ผ่านมา คุณหมอวีซ่ามีโอกาสคุยกับคุณแม่ของคุณปูที่เมืองไทย ท่านบ่นเหงา ลูกไปอยู่นอกกันหมด แก่ตัวลงทุกวันไม่มีคนใกล้ชิดดูแล คุณหมอวีซ่าก็ได้ถ่ายทอดความรู้สึกตรงนี้ของคุณแม่ให้คุณปูฟัง คุณปูจึงโทรไปคุยกับคุณแม่ และในที่สุดก็ได้มาพบคุณหมอวีซ่าให้ยื่นเรื่อง Contributory Parents visa ให้คุณแม่มาอยู่ร่วมที่ออสเตรเลียด้วย เสียเงินให้รัฐบาลออสฯไป 3 หมื่นกว่าดอลล่าห์เป็นค่าสมทบค่าเลี้ยงดูคุณแม่ให้รัฐฯไป เจอคุณปูอีกที ยิ้มแย้มแจ่มใส เพราะวีซ่าคุณแม่ก็ผ่านมาด้วยดี และข่าวใหญ่ที่ตามมาก็คือคุณกุ้งตั้งท้องใกล้คลอด โดยมีคุณแม่คอยดูแลอย่างใกล้ชิด ดีใจสมหวัง happy ทั้งครัวเรือน คุณหมอวีซ่าขอแสดงความยินดีด้วย ความกตัญญูส่งบุญกลับให้เห็นได้อย่างทันตาจริงๆนะคะ

เรื่องที่ 2: คุณจอห์นกับคุณก้อย (นามสมมุติ) – คุณก้อยเป็น PR ของออสเตรเลีย เป็นสาวเปรี้ยว ทำงานให้กับบริษัท professional firm แห่งหนึ่งในออสเตรเลียที่ขาย intelligent information ให้กับบริษัททำการตลาดในออสเตรเลีย ช่วงที่ทำงาน ก็ได้มีโอกาสรู้จักกับคุณจอห์น หนุ่มรูปหล่อถือวีซ่าชั่วคราวรายหนึ่งที่มาติดต่อธุรการกับบริษัทที่คุณก้อยทำงานอยู่ ทำไปทำมาก็เป็นแฟนคบกันมาสักพัก คุณจอห์นก็มาให้คุณหมอวีซ่าทำวีซ่าคู่ครองให้โดยมีคุณก้อยเป็นสปอนเซอร์ให้ สัมภาษณ์ดูเอกสารทุกอย่างก็ดูดี เคสไม่น่ามีปัญหา ส่วนทางบ้านที่เมืองไทยของคุณก้อยก็ดีใจลูกสาวได้แฟนฝรั่ง หม่าม้าโดยเฉพาะเตรียมจัดงานต้อนรับลูกเขย แถมซื้อคอนโดให้ลูกสาวเพื่อไม่ให้น้อยหน้าชาวต่างชาติ ทุกอย่างก็ดูจะลงเอยด้วยดี จนวันหนึ่งคุณจอห์นเดินมาพบคุณหมอวีซ่าหน้าตกมาเลย เพราะมาขอถอนเคส ไม่อยากอยู่ภายใต้สปอนเซอร์ของคุณก้อยอีกต่อไป ถามไปถามมา ปรากฎว่าฝ่ายชายไปมีแฟนใหม่ และขอเปลี่ยนคนสปอนเซอร์ ผู้หญิงคนใหม่หน้าตาก็ไม่สวยเท่าคุณก้อย งานก็ไม่ดีเท่า แต่ความซื่อสัตย์ กับความเป็นแม่บ้านเป็นเลิศ คุยไปคุยมาปรากฎว่ามีปัญหาทะเลาะกันด้วยเรื่องอุดมการณ์ที่ไม่ตรงกัน ฝ่ายชายเลยเผยความในใจออกมาว่า เขาเองก็มีญาติสนิททำงานในธุรกิจสายเดียวกับบริษัทที่คุณก้อยทำงานแล้วก็เป็นคู่แข่งทางการค้าด้วยกัน เขาเคยใช้ให้คุณก้อยในฐานะที่เป็นแฟนกันดึงข้อมูลบางอย่างจากทางบริษัทไปให้ญาติสนิทของตน คุณก้อยก็ยอมละเมิดจรรยาบรรณในวิชาชีพของตนและไปขโมยข้อมูลเหล่านั้นมาให้เพราะความรักแฟน แต่แทนที่ฝรั่งเขาจะ appreciate เขากลับคิดต่างจากคนไทยเรามาก เขากลับบอกว่า หากคุณก้อยสามารถหักหลัง ทรยศได้กระทั่งกับเจ้านายที่ให้งานและเลี้ยงดูสอนงานคุณก้อยมาตั้งหลายปี หักหลังเพื่อนร่วมงาน แล้วอะไรจะทำให้คุณก้อยไม่สามารถหักหลังแกได้หละ แกเลยไม่ไว้ใจผู้หญิงคนนี้ จึงขอเลิก แล้วก็ไปมีคนใหม่ คุณหมอวีซ่างงมากเลย อาจมีเรื่องอะไรเกิดมากกว่านี้ เราก็ไม่กล้าถามเพิ่มเติม เพราะเป็นเรื่องส่วนตัวเขา เพียงแต่เสียดายที่เคสก็ดำเนินไปจนเกือบขั้นสุดท้ายแล้ว

ขอส่งข่าวก่อนจบและเปิดต้อนรับปีใหม่นี้ด้วยการขอเชิญชวนให้ท่านผู้อ่านและน้องๆนักศึกษานานาชาติ มาร่วมฟังสัมมนาที่เกี่ยวกับการนับแต้ม 65 คะแนนในงาน “CP Skilled Visas Seminar” ระบบใหม่สุดของวีซ่าทักษะ (General Skilled Migration – GSM) ที่จะเริ่มใช้ในวันที่ 1 July 2011 นี้ จัดโดยทีมงาน CP Sydney ในวันเสาร์ที่ 22 มกราคม 2011 ตั้งแต่เวลา 13.00 – 16.00 น. ที่ Ground Floor ของสำนักงาน CP Sydney มาทำความกระจ่างให้รู้เรื่องซักทีว่าเราจะเข้าข่ายตามกฎใหม่ไหมหรือจะตามกฎเก่า ถ้าไม่ ต้องทำอย่างไรให้เข้าข่าย อย่ามัวแต่ไปฟังคนโน้นพูดนิดคนนี้พูดหน่อยให้สับสนเปล่าๆ มางานสัมมนาที่ CP งานเดียว กระจ่างทันที

ตามติดๆด้วยงานสัมมนา “วีซ่าคู่รัก” ในงาน “CP Valentine Partner Visas Seminar” ประจำปี 2011 ซึ่งทาง CP ได้รับเกียรติจัดร่วมกับสถานกงสุลประจำนครซิดนีย์ทุกปีในช่วงเทศกาลวันวาเลนไทน์ ซึ่งปีนี้วัน Valentine ตรงกับวันจันทร์ที่ 14 February 2011 ตั้งแต่เวลา 13.00 – 16.00 น. ที่ Ground Floor ของสำนักงาน CP Sydney โดยคู่รักสามารถจูงมือกันมาจดทะเบียนสมรสแบบไทยได้ในวันงาน พร้อมได้ใบทะเบียนสมรสกลับไปทันทีในวันเดียวกัน ภายใต้การสนับสนุนงานของชุมชนชาวไทยจากทางสถานกงสุลใหญ่ประจำนครซิดนีย์ มาฟังความกระจ่างถึงข้อแตกต่างระหว่างการสมรสแบบไทยกับแบบออสฯว่ามีผลกระทบต่อเราและต่อการยื่นวีซ่า

ทุกอย่างฟรีค่ะ แถมมีของชำรวยแจกในวันงานอย่างเป็นกันเองและสนุกสนาน แล้วไว้พบกันในวันงานปีใหม่นี้นะคะ ขอให้ทุกคนมีความสุขมากๆ สมหวังเรื่องวีซ่ากันทุกคนเลยค่ะ…

ด้วยความปรารถนาดี Merry Christmas and Happy New Year… จากคุณหมอวีซ่าค่ะ

มีคำถามเกี่ยวกับการสมัครหรือสถานะวีซ่าออสเตรเลียของคุณ? ต้องการสมัครเพื่อศึกษาต่อ ทำงาน หรืออาศัยอยู่ในออสเตรเลีย? สามารถขอคำแนะนำจากทีมคุณหมอวีซ่าได้ที่: