25 Jan 2016

สวัสดีปีใหม่ค่ะ…คุณหมอวีซ่าฉบับนี้ขอเริ่มต้นด้วยการ แสดงความยินดีกับน้องแจ๊คกี้ (นามสมมติ) ที่น่ารักมากๆและเพิ่งมีลูกน้อยอายุพียง 3 เดือนที่ในที่สุดก็ได้คุณแม่สุดที่รักของน้องอยู่ต่อในออสเตรเลีย (โดยไม่ต้องถูกส่งกลับไปยื่นวีซ่ามาใหม่จากประเทศไทย) เพื่อที่จะได้คอยดูแลน้องอย่างต่อเนื่องได้ คุณหมอวีซ่าพร้อมทีมงานก็ขอแสดงความยินดีเป็นอย่างยิ่งกับครอบครัวที่แสนน่ารักครอบครัวนี้ที่ประกอบด้วยคุณพ่อที่ใจดีขยันทำงานอยู่ในฟาร์มแห่งหนึ่งของรัฐนิวเซาท์เวลส์กับคุณแม่ที่ทั้งสวยและเป็นหญิงไทยที่เพียบพร้อมไปด้วยทุกอย่างเป็นที่รักของทุกคนในครอบครัวที่นี่ (แถมทำกับข้าวเก่ง เป็นแม่ศรีเรือนอย่างชนิดที่เรียกว่าทำชื่อเสียงให้กับหญิงไทยเลยเชียวแหล่ะค่ะ)

เรื่องของเรื่องก็มีอยู่ว่าคุณแม่ของน้องแจ๊คกี้ ขอเรียกนามสมมติว่าชื่อ “คุณแม่แสนดี” ก็แล้วกันนะคะ คุณแม่แสนดีเมื่อประมาณ 2-3 ปีก่อนได้เดินทางเข้ามาในประเทศออสเตรเลียเป็นครั้งแรก โดยโดนผู้หญิงใจร้ายที่เป็นคนไทยคนหนึ่งหลอกบอกว่าชวนมาเที่ยวค่ะ ที่แท้พอมาถึงก็ถูกจัดส่งให้ไปทำงานที่ฟาร์มที่อยู่ห่างไกลฝูงชนมากแห่งหนึ่งไกลจากผู้คนมากเสียจนติดต่อใครไม่ได้เลย ไม่มีโทรศัพท์ไม่เห็นกระทั่งเงาเพื่อนบ้านหรือผู้คนในแวดวงรอบข้างฟาร์มเลยแม้แต่สักคน ครั้นทำงานไปก็ไม่เคยได้รับเงินเดือนหรือค่าตอบแทนจากเจ้าของฟาร์มเลยแม้แต่สักสลึง ซึ่งมาทราบเอาภายหลังว่า เงินที่แลกกับหยาดเหงื่อและแรงงานแสนเหนื่อยของคุณแม่แสนดีนั้น ถูกยึดไว้ที่ผู้หญิงใจร้ายใจโหดคนนั้นทั้งหมด เพราะฉะนั้นคุณแม่แสนดีก็สุดจะทนกับการที่ต้อง ทำงานไปด้วยและร้องไห้เป็นทุกข์ไปด้วยอย่างน่าสงสารทุกวันคืน จนในที่สุดคุณแม่แสนดีก็ตัดสินใจว่า จะต้องหนีจากสถานที่อันทรมาณแห่งนี้ไปให้ได้ เคราะห์ดีของคุณแม่แสนดีที่มีเพื่อนที่ใจดีคนหนึ่งช่วยขับรถพาไปส่งที่ฟาร์มอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งอย่างน้อยก็มีการจ่ายค่าแรงตอบแทนถึงจะเป็นจำนวนเงินเพียงเล็กน้อย แต่คุณแม่แสนดีก็ยังมีความมุมานะตั้งใจทำงานอย่างหนัก กัดฟันสู้กับชีวิต ทำงานกลางแดดกลางฝนจนในที่สุดสามารถเก็บเงินได้ก้อนหนึ่งเพื่อที่จะนำไปซื้อโทรศัพท์เพื่อเอาไว้ติดต่อคนภายนอก แล้วก็ได้ตัดสินใจหนีออกไปเผชิญชีวิตอยู่ที่อื่นที่หวังว่าจะดีกว่าที่เป็นอยู่ ณ ตอนนั้น ด้วยความที่คุณแม่แสนดีไม่รู้ภาษาอังกฤษ และไม่รู้กฏเกณฑ์อันซับซ้อนเกี่ยวกับกฎหมายอิมมิเกรชั่น ของประเทศออสเตรเลีย จึงไม่ได้ทำการต่อวีซ่าหลังจากที่วีซ่าตัวที่ใช้เข้ามาในประเทศออสเตรเลียนั้นได้หมดไป แต่โชคชะตาของคุณแม่แสนดีก็ยังไม่ได้ถึงกับตกอับซะทีเดียวนะคะ เพราะหลังจากที่ได้หนีออกจากเจ้าของฟาร์มดังกล่าว โชคชะตาก็นำพาให้ไปเจอกับเนื้อคู่ชาวออสเตรเลียที่ใจดีมากท่านหนึ่ง เรียกว่าเป็นรักแรกพบของทั้งสองเลยก็ว่าได้ ทั้งสองจึงได้ตกลงปลงใจเป็นแฟนกัน คบกันมาได้สักระยะก็ตกลงปลงใจตั้งครอบครัวแต่งงานกัน และตอนที่คุณแม่แสนดีติดต่อคุณหมอวีซ่ามา ก็ตั้งท้องได้ประมาณ 7 เดือนแล้วค่ะ ทางฝั่งครอบครัวของสามีก็อยากจะให้คุณหมอวีซ่าช่วยจัดการเรื่องวีซ่าของคุณแม่แสนดีให้เรียบร้อยก่อนที่น้องแจ๊คกี้จะคลอด ซึ่งคุณหมอวีซ่าก็ให้คำแนะนำว่า ทางเราจะเตรียมทุกอย่างให้เสร็จตั้งแต่เนิ่นๆแต่ขอยื่นเคสหลังจากที่คุณแม่แสนดีคลอดน้องโดยลิสต์เหตุผลให้ฟังหลายประการตามกฎหมายและนโยบายของรัฐบาลออสเตรเลีย และในที่สุด ทุกฝ่ายก็ตกลงเดินตามแผนที่คุณหมอวีซ่าแนะนำให้

เนื่องจากคุณแม่แสนดีไม่มีความรู้ทางด้านวีซ่าเลย และไม่ทราบว่าบริษัทที่ทำวีซ่าให้เข้ามาในออสเตรเลียครั้งแรกนั้น ทำเป็นวีซ่าอะไร และยิ่งไม่ทราบว่ามีเงื่อนไขแปลกๆอะไรบ้าง อย่างเช่น เงื่อนไข No Further Stay หรือที่รู้จักกันทั่วไปว่าเงื่อนไข 8503 ติดกับวีซ่ามาด้วยหรือเปล่า ทางทีมงานของคุณหมอวีซ่าจึงต้องทำงานอย่างระมัดระวังโดยการไปขอดึงข้อมูลมาจากกระทรวงตรวจคนเข้าเมืองหรือ Department of Immigration and Border Protection (DIBP) โดยทำผ่านกระบวนการทางกฏหมายที่เรียกว่า Freedom of Information (FOI) ก่อน ซึ่งก็ใช้เวลารอประมาณ 2-3 เดือนทาง DIBP ก็ส่งข่าวดีมาบอกว่าคุณแม่แสนดีของเราไม่มีเงื่อนไข 8503 อยู่ในวีซ่าตัวที่ใช้เดินทางเข้าออสเตรเลียครั้งแรก เมื่อได้รับข้อมูลมาเป็นลายลักษณ์อักษรเช่นนี้ ทีมงานของคุณหมอวีซ่าก็ดีใจมากเพราะจากข้อมูลนี้เราทราบว่าคุณแม่แสนดีของเรานั้นเป็นผู้โชคดีหนึ่งในน้อยๆท่านที่สามารถยื่นเรื่องวีซ่าภายในประเทศออสเตรเลียได้โดยไม่ต้องกลับเมืองไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ณ เวลานั้นน้องแจ๊คกี้ก็เพิ่งคลอดพอดีค่ะ และอายุก็ยังน้อยมากต้องการการดูแลจากพ่อแม่ โดยเฉพาะจากคุณแม่อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย หลังจากนั้นทีมงานเราก็ทำงานหนักมาก ทั้งกรอกฟอร์มเรียบเรียงข้อมูลค้นคว้ากฎหมายทำทุกอย่างอย่างละเอียดจนกระทั่งมั่นใจว่าทุกอย่างพร้อมและได้ทำการยื่นวีซ่าคู่ครองให้กับคุณแม่แสนดี จากนั้น ก็จัดการยื่นฟอร์มกับข้อมูลเอกสารประกอบหนาเป็นปึกส่ง courier เข้าอิมมิเกรชั่นทุกอย่างตามกฎเกณฑ์เป๊ะ ปรากฏว่าอีก 2 สัปดาห์ต่อมาฟอร์มทั้งชุดของคุณแม่แสนดีก็ถูกส่งกลับมาที่ออฟฟิศของเราทั้งหมดพร้อมจดหมายเจ้าหน้าอิมฯที่เขียนตอบมาว่า คุณแม่แสนดีไม่สามารถยื่นฟอร์มที่ออสเตรเลียได้ เนื่องจากวีซ่าของคุณแม่แสนดีนั้นมีเงื่อนไข 8503 ติดอยู่ ทางทีมงานของเราตกใจมากว่าอะไรเกิดขึ้นเนี๊ยะ เพราะทางเราก็ทำตามขั้นตอนของกฎหมายอย่างถูกต้องทุกประการ คราวนี้คุณหมอวีซ่าก็ไม่ยอมละสิคะ เพราะทีมงานของเราได้ทำการบ้านมาอย่างหนักและเช็คข้อมูลทุกอย่างอย่างถูกต้อง และได้รับการยืนยัยกลับมาเป็นลายลักษณ์อักษรทุกประการจากเจ้าหน้าที่แล้วนี่นา เมื่อเรื่องเป็นอย่างนี้คุณหมอวีซ่าจึงได้อีเมลล์ไปหาเจ้าหน้าที่ DIBP ทันทีเพื่อขอคำอธิบายจากทางเจ้าหน้าที่ว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วท่านผู้อ่านเชื่อไหมคะว่าทางเจ้าหน้าที่ DIBP ก็สามารถทำงานผิดพลาดอย่างแรงได้เช่นกัน ในที่สุดทางเจ้าหน้าที่ก็ยอมรับค่ะว่า ทำงานผิดพลาดจึงได้จดหมายมาขอโทษว่าข้อมูลที่ส่งมาให้นั้น เกิดการผิดพลาดภายในระบบของกระทรวงฯเอง ทางคุณหมอวีซ่าก็ขอให้ชี้แจง และ ขอโทษมาอย่างเป็นทางการ จากนั้นคุณหมอวีซ่ากับทีมงานจึงต้องใช้พยายามอีกหนึ่งยกใหญ่เพื่อไปขอให้ทาง DIBP เพิกถอนเงื่อนไข 8503 ให้คุณแม่แสนดี และในที่สุดเราก็ทำสำเร็จค่ะ คุณแม่แสนดีจึงสามารถยื่นวีซ่าคู่ครองภายในออสเตรเลียได้โดยที่ไม่ต้องเดินทางกลับประเทศไทย ซึ่งปกติแล้วเงื่อนไขตัวนี้จะขอเพิกถอนได้ยากมาก จะต้องมีเหตุผลที่ดีจริงๆเท่านั้น แต่ด้วยการทำงานและเขียนข้อโต้แย้งอ้างอิงเข้าไปอย่างละเอียด จึงทำให้อิมมิเกรชั่นเห็นด้วยกับเราและยินดีเพิกถอนเงื่อนไขให้ ซึ่งตอนนี้จากการที่เราสามารถขอคำเพิกถอนเงื่อนไข 8503 ให้กับคุณแม่แสนดีได้ ทำให้คุณแม่แสนดีมีโอกาสยื่นวีซ่าคู่ครองภายในออสเตรเลียได้โดยไม่ต้องกลับไทยและได้รับการอนุมัติ Bridging Visa ให้สามารถยื่นและรอเรื่องภายในประเทศออสเตรเลียได้จนกว่าวีซ่าจะรับการตัดสินจากทางเจ้าหน้าที่ค่ะ ซึ่งกว่าจะมาถึงจุดนี้ได้นั้นทีมงานของคุณหมอวีซ่าก็ช่วยกันต่อสู้กันอย่างสุดความสามารถ และก็ดีใจมากๆที่ทุกอย่างประสบความสำเร็จถึงแม้ว่าจะมีอุปสรรคอยู่บ้างบางช่วงแต่ก็ผ่านไปได้ด้วยดี ก็ต้องขอขอบคุณคุณแม่แสนดีพร้อมครอบครัวด้วยนะคะที่ให้ความไว้วางใจกับคุณหมอวีซ่าและทีมงานได้เป็นผู้ดูแลเคสของคุณแม่แสนดีค่ะ และขอบคุณที่ไม่ท้อถอย สู้ไปกับเราจนสำเร็จในที่สุดค่ะ

จากเหตุการณ์ครั้งนี้จึงเห็นได้ว่าระบบของหน่วยงานราชการ เช่น กระทรวงตรวจคนเข้าเมืองของออสเตรเลียก็ไม่สามารถเชื่อถือได้เสมอไปค่ะ ไม่ว่าระบบจะดีหรือรัดกุมเพียงใดก็อาจเกิดการผิดพลาดได้เช่นกันนะคะ ในที่สุดเรื่องร้ายๆของคุณแม่แสนดีก็ได้ผ่านไปแล้ว ปีใหม่ที่เข้ามาก็ขอให้คุณแม่แสนดีของเรามีแต่ความโชคดีได้อาศัยอยู่ในประเทศออสเตรเลียกับครอบครัวที่น่ารัก รักใคร่ปรองดองซึ่งกันและกันเป็นอย่างดี โดยมีน้องแจ๊คกี้อันเป็นที่รักเป็นโซ่ทองคล้องจองนะคะ ทางทีมงานของคุณหมอวีซ่าก็ขอแสดงความยินดีกับน้องแจ๊คกี้ คุณแม่แสนดี และครอบครัวอย่างจริงใจเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับน้องแจ๊คกี้ที่ไม่ต้องอยู่ห่างจากอกของคุณแม่แสนดีตั้งแต่ตัวยังเล็กน้อยนิดเดียว เพราะด้วยวัยเพียงแค่นี้น้องต้องการคุณแม่ไว้อยู่ใกล้ๆ คอยดูแลเป็นอย่างยิ่งค่ะ

จากประสบการณ์ข้างต้น คุณหมอวีซ่าก็อยากจะเตือนท่านผู้อ่านว่า ก่อนที่จะยื่นวีซ่าตัวใดนั้น ขอให้ท่านผู้อ่านลองตรวจสอบบนหน้าวีซ่าตัวปัจจุบันของท่านกันให้แน่ชัดสักนิดว่าวีซ่าที่เราใช้เดินทางเข้ามาในประเทศออสเตรเลียครั้งล่าสุดนั้นมีเงื่อนไขแปลกๆจำพวก 8503, 8534 หรือ 8535 ติดอยู่หรือไม่ หากท่านผู้อ่านพบว่าตัวเองมีเงื่อนไขตัวใดตัวหนึ่งนี้ติดอยู่ในวีซ่าของตัวเองก็แปลว่า ท่านๆคุณๆทั้งหลายจะไม่สามารถทำการยื่นขอวีซ่าภายในประเทศออสเตรเลียได้เลย ยกเว้นเสียแต่ว่าจะได้รับการเพิกถอนเงื่อนไขตัวนี้ออกไปเสียก่อน ซึ่งในการยื่นขอเพิกถอนเงื่อนไข No Further Stay นั้น เป็นเรื่องที่ทำได้ยากมากๆ หากไม่มีเหตุผลที่ดีจริงๆและสามารถทำให้เจ้าหน้าที่อิมฯเชื่อในเหตุผลของเราได้ ก็ต้องกลับไปยื่นวีซ่าในประเทศถิ่นฐานแดนเกิดของตัวเองค่ะ

คุณหมอวีซ่าจะพูดอยู่เสมอนะคะว่า ไม่ว่าเราจะอยู่ในประเทศใดก็ขอให้ปฏิบัติตามกฏเกณฑ์ของบ้านเมืองนั้นให้ถูกต้อง พยายามอย่าไปทำอะไรที่กฎหมายเขาไม่อนุญาต เนื่องจากการติดความผิดเพียงครั้งเดียวนั้นถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้ทำโดยเจตนาก็ตาม หรือว่าจะทำไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือเพราะมีความจำเป็นบางอย่างในชีวิตที่บังคับให้เราต้องอยู่เกินวีซ่าของประเทศเขาด้วยความจำเป็น ทางรัฐบาลออสเตรเลียเขาไม่ได้จะมานั่งเห็นใจและมักจะไม่ค่อยให้ความร่วมมือกับคนที่เคยทำผิดกฎหมายกันสักเท่าไหร่หรอกนะคะ เพราะฉะนั้นถ้าเป็นไปได้ท่านผู้อ่านทั้งหลายที่ถือวีซ่าที่ถูกต้องอยู่ ก็อย่าพยายามอย่าปล่อยให้วีซ่าขาดและอย่าอยู่เกินวีซ่า หรือแม้แต่กระทั่งการถือวีซ่านักเรียนคนละ subclass ที่นักเรียนไทยนิยมทำกันเหลือเกิน ผิดไปครั้งหนึ่งกว่าจะแก้ไขได้ก็แสนยากเย็นค่ะ เพราะประเทศออสเตรเลียเองก็เป็นประเทศที่ประชากรค่อนข้างมีความซื่อสัตย์และเจ้าหน้าที่เองก็ปฏิบัติหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา หากประวัติเราดีมาโดยตลอด คุณหมอวีซ่าก็มองไม่เห็นเหตุผลว่าทำไมเราจะไม่สามารถขอวีซ่าซ้ำๆซ้อนๆกลับเข้าประเทศออสเตรเลียได้ แต่หากการทำผิดเพียง 1 ครั้ง มันก็เหมือนกับแผลมีดบาดที่จะติดอยู่กับตัวเราไปตลอด จะลบอย่างไรก็ไม่สามารถทำให้มันกลับมาเหมือนเดิมได้ ก็ขอให้คิดกันซะอย่างนี้ก็แล้วกันนะคะ

ช่วงนี้สถาบันการศึกษาในออสเตรเลียก็ใกล้เปิดเรียนกันละค่ะ ในเวลาอีกไม่ช้าไม่นาน นักเรียนนักศึกษาก็ต้องกลับเข้าไปเรียนในโรงเรียนหรือตามมหาวิทยาลัยแล้ว หากใครยังไม่ได้ลงทะเบียนหรือทำวีซ่าก็ให้รีบไปพบกับพี่ๆ CP INTERNATIONAL ทุกสาขาไม่ว่าจะเป็นกรุงเทพฯ เชียงใหม่ เมลเบิร์น และซิดนีย์โดยด่วนได้เลยนะคะ

มีอีกเรื่องหนึ่งที่อยากจะอัพเดทท่านผู้อ่านที่รักทุกท่านก็คือ เรื่องเกี่ยวกับการขอวีซ่าทักษะ (Skilled Visas) โดยอาศัยสายอาชีพวิศวกร ซึ่งรัฐบาลออสเตรเลียกำลังจะนำกฎใหม่เข้ามาใช้ ซึ่งจะเป็นผลดีกับวิศวกรหลายๆท่านที่มีความประสงค์ที่จะอพยพเข้ามาใช้ชีวิตและทำงานอยู่ในประเทศออสเตรเลียโดยถือวีซ่าถาวร นอกจากนี้ตามข่าวยังมีการพูดถึงผู้ถือวีซ่านักเรียนซึ่งได้เรียนหลักสูตรปริญญาตรี ปริญญาโท หรือปริญญาเอกทางสาขาวิศวกรรมศาสตร์โดยใช้เวลาเรียนไม่ต่ำกว่า 2 ปีในประเทศออสเตรเลีย จะได้รับการยกเว้นภาษาอังกฤษโดยไม่ต้องใช้ผลสอบ IELTS มาขอวีซ่าทักษะอีกต่อไปแล้ว เรื่องนี้ก็เป็นข่าวดีสำหรับนักศึกษาไทยกันอย่างถ้วนหน้าเลยค่ะ เพราะโดยปกติที่ CP INTERNATIONAL ของเรามักจะมีเด็กที่จบปริญญาตรีทางด้านวิศวกรรมจากเมืองไทยมาให้เราสมัครเรียนต่อในระดับปริญญาโทหลักสูตร 2 ปีในประเทศออสเตรเลียกันเยอะมาก เมื่อกฎข้อใหม่นี้ประกาศออกมาใช้เมื่อไหร่ นักศึกษาที่เข้าข่ายตามนโยบายข้อนี้ก็จะไม่ต้องทำ CDR report ให้ยุ่งยากอีกต่อไป แต่การลงเรียน 2 ปีในหลักสูตรปริญญาโทที่ประเทศออสเตรเลียนั้นทางเราจะต้องมั่นใจว่าหลักสูตรที่เราเลือกเป็นหลักสูตรที่ได้รับการรับรองจากองค์กร Engineers Australia (EA) ด้วยนะคะ อย่างไรก็ดีปีนี้คุณหมอวีซ่าจะพยายามจัดสัมมนาเพื่อให้ความรู้กับน้องๆนักศึกษาที่สนใจ จะได้เลือกเรียนกันให้ถูกสาขาวิชาและถูกสถาบัน เพื่อที่ว่าหลังเรียนจบ จะสามารถข้ามฝั่งไปถือวีซ่าทักษะได้อย่างราบรื่นในอนาคต เอาเป็นว่าถ้ากฎหมายและนโยบายชุดนี้ถูกประกาศใช้อย่างเป็นทางการเมื่อไหร่ คุณหมอวีซ่าก็จะรีบนำมาเขียนในคอลัมน์ เพื่อให้ความรู้แก่ท่านผู้อ่านอย่างทั่วถึงกันอย่างแน่นอนค่ะ

ก่อนจากกันไปในฉบับนี้ คุณหมอวีซ่าขอฝากประชาสัมพันธ์งานดีๆที่ทาง CP Bangkok กำลังจะจัดขึ้นในเร็วๆนี้ นั่นก็คือ “CP World Study English Fair 2016” โดยงานจะถูกจัดขึ้นในวันเสาร์ที่ 13th February 2016 ที่โรงแรม Novotel, Siam Square ค่ะ จะเป็นงานที่ทาง CP Bangkok จัดขึ้นเพียงปีละครั้งเท่านั้น โดยภายในงานเราก็จะเชิญแต่โรงเรียนภาษาในระดับดีๆที่มีคุณภาพสูงมาร่วมงาน เพราะฉะนั้นน้องๆนักเรียนก็มั่นใจได้เลยค่ะว่าจะได้ความรู้และเสริมทักษะทางภาษาอังกฤษอย่างแท้จริง และสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นจุดประสงค์เพื่อการเรียนต่อ การงาน หรือทำวีซ่าต่อเนื่องก็ตาม อย่าลืมมาฟังสัมมนาดีๆที่จะได้ความรู้ พร้อมตอบคำถามอย่างกระจ่างชัดทุกข้อจากทางสถานทูตออสเตรเลีย และคุณหมอวีซ่าโดยตรงนะคะ…งานดีๆแบบนี้อย่าลืมช่วยกันแชร์ช่วยกันบอกต่อนะคะ สำหรับฉบับนี้คุณหมอวีซ่าขอลาไปก่อน สวัสดีค่ะ

มีคำถามเกี่ยวกับการสมัครหรือสถานะวีซ่าออสเตรเลียของคุณ? ต้องการสมัครเพื่อศึกษาต่อ ทำงาน หรืออาศัยอยู่ในออสเตรเลีย? สามารถขอคำแนะนำจากทีมคุณหมอวีซ่าได้ที่: